กองกำลัง BGF รัฐกะเหรี่ยงซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นกองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNA) ภายใต้การนำของ พ.อ.ซอชิดตู่ ที่เคยประกาศว่าจะตัดขาดตัวเองจากกองทัพพม่าและกำลังพยายามปรับภาพลักษณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนของตัวเองนั้น อย่างไรก็ตามหากพวกเขาจะพึ่งพาตัวเองในด้านงบประมาณ ก็จะยิ่งต้องเก็บภาษีธุรกิจและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์และการหลอกลวงต้มตุ๋น ซึ่งจะยิ่งทำให้พวกเขาต้องพึ่งพิงธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้มากขึ้น
ฟรอนเมียร์เมียนมา เปิดเผยรายงานเดือนเมษายนที่ผ่านมาถึงสถานการณ์ในรัฐกะเหรี่ยงหลังจากกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) รัฐกะเหรี่ยง ของ พ.อ.ซอชิดตู่ เปลี่ยนชื่อเป็นกองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNA) เลิกรับคำสั่งจากกองทัพเผด็จการพม่า โดยยกตัวอย่างกรณีของอ้ายก์จ่อ (Aik Kyaw) นักธุรกิจโรงแรมและนักธุรกิจร้านอาหาร เขาก็เป็นเช่นเดียวกับนักธุรกิจรายอื่นๆ ที่ประกอบการอยู่ที่เมืองชเวก๊กโก่ และรู้สึกกังวล เมื่อกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) รัฐกะเหรี่ยง ประชุมฉุกเฉินเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2566
“พวกเขาไม่ได้บอกล่วงหน้าอะไรมากว่าจะมีการหารือกันเรื่องอะไรในที่ประชุม” อ้ายก์จ่อ กล่าว “พวกเราคิดว่า BGF กำลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอะไรสักอย่าง เพราะทุกอย่างเป็นการจัดการที่รวดเร็วมาก”
กองกำลัง BGF รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกผนวกเข้าไปอยู่ในสายการบัญชาของกองทัพพม่าตั้งแต่ปี 2553 และประสบกับความระส่ำระส่ายจากปฏิบัติการ 1027 ซึ่งเป็นการบุกของกองกำลังพันธมิตรสามภราดรภาพเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยกองกำลังพันธมิตรสามภราดรภาพอันประกอบไปด้วย กองทัพโกก้าง MNDAA กองทัพตะอาง TNLA และกองทัพอาระกัน AA ได้ยึดพื้นที่รัฐฉานตอนเหนือมาจากกองทัพพม่าได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังปราบกองกำลัง BGF กลุ่มโกก้างอีกด้วย
กองกำลังพันธมิตรสามภราดรภาพได้รับความช่วยเหลือจากจีน และปฏิบัติการโจมตีทางตอนเหนือของรัฐฉานนั้นมีการให้ความชอบธรรมว่าเป็นการปราบปรามอุตสาหกรรมหลอกลวงต้มตุ๋นออนไลน์ที่ขยายตัวจนยากจะควบคุมที่นั่น ในตอนนี้มีความเชื่อที่ว่าศูนย์กลางธุรกิจหลอกลวงต้มตุ๋นออนไลน์ในพม่ามากระจุกตัวอยู่ที่รัฐกะเหรี่ยงมากที่สุด ซึ่งเจ้าของธุรกิจรายใหญ่โดยส่วนมากจะมีความเกี่ยวข้องกับ BGF รัฐกะเหรี่ยง และคู่หูทางธุรกิจของพวกเขาคือบริษัทยาไตอินเตอร์เนชั่นแนลที่เจ้าของเป็นชาวจีนนั้น ปัจจุบันเป็นนักโทษถูกคุมขังในไทย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมหลอกลวงต้มตุ๋นได้อาศัยการบังคับแรงงานคนที่ถูกลักพาตัวค้ามนุษย์ข้ามแดนจากจีนเพื่อให้มาทำการหลอกลวงต้มตุ๋นคนสัญชาติจีนรายอื่นๆ ในพม่านั้นศูนย์รวมการหลอกลวงต้มตุ๋นมักจะมีกลุ่มแก็งอาชญากรจีนเป็นกลุ่มที่ดำเนินการโดยอาศัยความร่วมมือกับกองกำลังติดอาวุธที่ให้การคุ้มครองพวกเขา
อ้ายก์จ่อ กล่าวถึงการประชุมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ไว้ว่าเป็นเสมือนการ “เตือนล่วงหน้า” ต่อกลุ่มเจ้าของธุรกิจที่มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมหลอกลวงต้มตุ๋น
“พวกเขากำลังเตือนคนเหล่านั้นว่าพวกเขาจะทำการปราบปรามในอีกไม่นานนี้” อ้ายก์จ่อ กล่าว นอกจากนี้ยังเสริมด้วยว่า BGF ให้สัญญาว่าจะทำการคุ้มครองพื้นที่จากคนนอกต่อไป ทั้งจากกองทัพพม่าและจากกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์อื่นๆ
แต่ก็เช่นเดียวกับกรณีอื่นๆ ที่มักจะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการต้มตุ๋น สิ่งที่ตามมากลายเป็นการปรับตัวเสียมากกว่าการปราบปราม แสดงให้เห็นถึงความที่องค์กรอาชญากรรมยังมีความสามารถในการยึดหยุ่นปรับตัวได้ ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มเหล่านี้ทำรายได้นับหลายพันล้านต่อปีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แหล่งข่าวจากชเวก๊กโก่กล่าวว่ามีปฏิบัติการบางส่วนที่มีการระงับชั่วคราวหรือมีการย้ายที่เกิดขึ้นจริง แต่จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามันก็กลับมาเปิดเหมือนเดิม ในขณะเดียวกัน การตัดสินใจเมื่อช่วงไม่นานนี้ของ BGF ที่จะแยกตัวจากกองทัพพม่าก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องพึ่งพาตัวเองในทางการเงิน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในรูปแบบของการเก็บภาษีธุรกิจและบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์และการหลอกลวงต้มตุ๋น ซึ่งจะทำให้พวกเขาต้องพึ่งพิงอุตสาหกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้มากขึ้น
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
เดือนมกราคมที่ผ่านมา กลุ่ม BGF ประกาศว่าจะตัดสายสัมพันธ์กับกองทัพพม่า ทั้งจะไม่รับเงินเดือนจากกองทัพหรือนำทัพสู้รบในรัฐกะเหรี่ยงอีกต่อไป แต่อ้ายก์จ่อ ก็บอกว่าเจ้าของธุรกิจในพื้นที่ทราบเรื่องนี้จาก BGF มาตั้งแต่เดือนธันวาคมแล้ว ไม่นานนักหลังจากที่มีการประชุมฉุกเฉิน
แหล่งข่าวจาก BGF ที่ไม่ประสงค์เปิดเผยนามบอกกับฟรอนเทียร์เมียนมาด้วยว่ารัฐบาลทหารพม่าพยายามอย่างอุตลุตที่จะส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเจรจาต่อรอง ได้แก่ หม่องหม่องโอน (Maung Maung Ohn) รัฐมนตรีกระทรวงสารสนเทศและโซมยิ้นต์อู (Soe Myint Oo) ประธานสภาบริหารรัฐกะเหรี่ยง ได้เข้าพบ พ.อ.ซอว์ชิตตู่ ผู้นำ BGF ที่เมืองพะอัน เมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยง เมื่อวันที่ 11 และ 18 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้กลุ่ม BGF ยังอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองทัพพม่า
“หม่องหม่องโอน ผู้เป็นเพื่อนที่ดีกับ ซอว์ชิตตู่ได้ถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของพวกเรากับกองทัพพม่าหรือเปล่า แต่ ซอว์ชิตตู่ยังยืนกรานว่า BGF รัฐกะเหรี่ยงไม่ได้ปฏิบัติการภายใต้การบังคับบัญชาของกองทัพพม่าอีกต่อไปแล้ว และจะตั้งตนเป็นอิสระ” แหล่งข่าวจาก BGF กล่าว
จากนั้น พล.อ.อาวุโส โซวิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้บินไปเมืองพะอันด้วยเฮลิคอปเตอร์ทหารเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา โดยโซวินได้เรียกร้องให้ BGF ยังรับเงินเดือนจากรัฐบาลทหารพม่าต่อไปและให้ปฏิบัติการรบต่อไปในรัฐกะเหรี่ยง นอกจากนี้ยังขอให้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการพนันผิดกฎหมายหรือสแกมเมอร์ด้วย โดยขอให้รัฐบาลทหารพม่าสามารถเข้าถึงและตรวจสอบชเวก๊กโก่ และพื้นที่อื่นๆ ของเมียวดีได้ถ้าหากมีการร้องขอ และนอกจากนี้ยังขอให้กองทัพพม่ามีบทบาทนำในการปกป้องชเวก๊กโก่หากตกอยู่ภายใต้การโจมตีแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในภูมิภาคโกก้าง
ข้อเสนอสุดท้ายอาจจะทำให้ BGF รัฐกะเหรี่ยงตกใจมากกว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้พวกเขา เมื่อพิจารณาเรื่องที่กองทัพพม่าเคยส่งตัวเหล่าผู้นำโกก้างที่เป็นที่ต้องการตัวให้กับจีนหลังจากมีปฏิบัติการ 1027 ทำให้ถึงที่สุดก็ไม่มีข้อตกลงอะไรกัน และ พ.อ.ซอว์ชิตตู่ ก็ยิ่งตอกย้ำในเรื่องความเป็นอิสระของ BGF มากกว่าเดิม
แหล่งข่าวบอกว่า “โดยหลักๆ แล้ว เหล่าผู้นำของพวกเราไม่สามารถเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของกองทัพพม่า ที่จะนำไปสู่การสู้รบกับกลุ่มกะเหรี่ยงกลุ่มอื่นๆ ได้ หรือไม่ก็จะกลายเป็นการอนุญาตให้กองทัพพม่าเข้ามาตรวจตรากาสิโนชายแดนเมื่อไหร่ก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ BGF อาจจะถือว่าไม่ได้มีอยู่เลยก็ได้ … ทหารกะเหรี่ยง BGF ระดับปฏิบัติการต่างก็เบื่อหน่ายกับการสู้รบกับกองกำลังกะเหรี่ยงกลุ่มอื่น”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องการต้มตุ๋นและธุรกิจการพนันผิดกฎหมายกลายเป็นเป็นอุปสรรคขวางกั้นผลประโยชน์ของสองฝ่ายระหว่าง BGF และกองทัพพม่า
ก่อนหน้านี้ในปี 2563 หลังจากที่รัฐบาลพลเรือนพรรค NLD ประกาศว่าจะสืบสวนเรื่องชเวก๊กโก่ กองทัพพม่าก็ขอให้เหล่าผู้นำ BGF ยุติการมีบทบาทเกี่ยวข้องกับธุรกิจการพนันผิดกฎหมายหรือไม่เช่นนั้นก็ลาออก แต่เมื่อกองทัพพม่ารัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 กลุ่มติดอาวุธที่เก่าแก่ที่สุดในพม่าคือสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ก็เริ่มฝึกซ้อมและติดอาวุธให้กับฝ่ายต่อต้านเผด็จการ ส่วนรัฐบาลทหารพม่าที่เพิ่งจะขึ้นสู่อำนาจก็ถอนข้อเรียกร้อง และอนุญาตให้ BGF ยังคงเป็นผู้ควบคุมธุรกิจผิดกฎหมายในชเวก๊กโก่เพื่อแลกกับการสนับสนุนในสงครามกลางเมือง
อย่างไรก็ตามในคราวนี้ รัฐบาลทหารพม่ากลับพบว่าตัวเองกำลังโดดเดี่ยว ในช่วงเวลาที่กะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ ที่เคยบาดหมางกันอาจจะเริ่มกลับมารวมกลุ่มกันได้ โดย พ.ต.หน่ายหม่องซอว์ (Naing Maung Zaw) โฆษกของ BGF ยืนยันกับฟรอนเทียร์เมียนมาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ว่ากลุ่ม BGF รัฐกะเหรี่ยงจะแยกตัวออกจากกองทัพพม่าและเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองใหม่เป็นกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNA)
พ.ต.หน่ายหม่องซอว์กล่าวว่า “ผู้บัญชาการ BGF ทุกคนเห็นตรงกันและพวกเราก็กำลังแจ้งอย่างเป็นทางการต่อหน่วยขึ้นตรง ทุกหน่วย พวกเราในตอนนี้กำลังยกเลิกอาร์มที่แขนแบบเดิมแล้วเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ด้วย ในบางหน่วยนั้นได้มีการเปลี่ยนอาร์มสัญลักษณ์เรียบร้อยแล้ว”
แต่ที่แตกต่างไปจากอดีตกองกำลัง BGF ในรัฐกะเรนนี ที่หลังจากแปรพักต์ก็กลับมาช่วยฝ่ายต่อต้านในการยึดแม่แจ๊ะ เมืองชายแดนตรงข้าม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน แต่กลุ่ม KNA บอกว่าพวกเขาจะไม่ไปสู้กับกองทัพพม่า
“เป้าหมายของ KNA ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่นี้ ก็เพื่อที่จะเน้นเรื่องเสถียรภาพและสันติภาพในภูมิภาคของพวกเรา พวกเราจะไม่บุกโจมตีรัฐบาลทหารพม่า SAC อย่างไรก็ตาม ถ้าหากรัฐบาลทหารพม่าโจมตีพวกเราก่อน พวกเราก็จะไม่นิ่งดูดาย” พ.ต.หน่ายหม่องซอว์ กล่าว
เจ้าหน้าที่ BGF ผู้ไม่ประสงค์ออกนามยืนยันว่ากลุ่มของพวกเขาได้ถอนกำลังออกจากค่ายทหารในเขตของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU เมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ และความร่วมมือกับกองทัพพม่าก็สิ้นสุดลง เขาบอกว่าการตัดสินใจแยกตัวของ พ.อ.ซอว์ชิตตู่ เกิดขึ้นหลังปรึกษาหารืออย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายอื่นๆ และนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ได้รับการหนุนหลังในหมู่ทหารชั้นผู้น้อยของกองกำลัง BGF
“พวกเราทุกคนสนับสนุนการตัดสินใจนี้ พวกเราอยู่ในตำแหน่งที่จะต้องยืนหยัดอยู่ในเขตแดนตัวเองให้ได้ด้วยกำลังพลของพวกเราเอง ดังนั้นแล้วมันจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องเป็นแค่ส่วนย่อยส่วนหนึ่งของกองทัพพม่า” เจ้าหน้าที่ BGF กล่าว
ถึงแม้ว่าการถอนกำลังจากเขตแดนของ KNU จะเป็นอาจจะเป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงสำหรับกลุ่มต่อต้านเผด็จการ เนื่องจากเป็นการเปิดทางให้ KNU และพันธมิตรเน้นเป้าหมายอื่นได้ หลายวันก่อนหน้านี้ ก็มีรายงานออกมาว่ากองกำลังแนวร่วมฝ่ายต่อต้านได้ยึดฐานที่มั่นใหญ่ๆ ของกองทัพพม่าที่อยู่ใกล้เมืองเมียวดีเอาไว้ได้ (หมายเหตุ: ในเวลาต่อมาทหารสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงและฝ่ายต่อต้านได้ถอนการปิดล้อมทหารพม่ากองพัน 275 และถอนกำลังออกไปจากสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2)
แสวงหาเงินทุน
แต่การแยกตัวออกจากกองทัพพม่าก็หมายความว่ากลุ่มผู้นำ BGF รัฐกะเหรี่ยงจะต้องหาหนทางอื่นในการมีงบประมาณจ่ายเงินเดือนให้กับกองทัพของตัวเอง ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 7,000 บาทต่อเดือน สำหรับกำลังพล 4,000 นาย รวมถึงเรื่องการหาเสบียงอาหารด้วย
กลุ่มคนงานและนักธุรกิจในท้องถิ่นบอกว่า เพื่อที่ BGF จะสามารถจุนเจือค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ ทาง BGF ได้เริ่มเก็บภาษีมากขึ้นจากลูกจ้างรายคนในชเวก๊กโก่ เป็นการเก็บเพิ่มเติมจากเดิมที่มีการเก็บภาษีธุรกิจร้อยละ 10 อยู่แล้ว ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัท Yatai ซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจรายหลักของ BGF ก็บอกว่าลูกจ้างของพวกเขาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 8,890 บาท 1 ครั้ง แล้วตามด้วยภาษีทั่วไป 1,000 บาทต่อเดือน
โกเต็ด ผู้ที่มีรายได้ 45,000 บาทต่อเดือนจากการทำงานให้กับบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Yatai ซึ่งทำการหลอกลวงต้นตุ๋นและการพนันออนไลน์ กล่าวว่า “มันไม่ได้มีการเขียนไว้ในแถลงการณ์ แต่พวกเราก็ถูกบอกในที่ทำงานว่าเงินพวกนี้จะส่งให้กับ BGF”
โกเต็ด บอกว่าอุตสาหกรรมสแกมเมอร์ในชเวก๊กโก่มีการปรับตัวนับตั้งแต่มีปฏิบัติการ 1027 เขาบอกว่าลูกจ้างใหม่จะถูก “พิจารณา” หนักขึ้น รวมถึงการลงนามในสัญญาจ้างว่าจะต้องไม่โพสต์รูปใดๆ ในโซเชียลมีเดีย และถูกบอกว่าให้แสดงตัวเหมือนกับคนที่ทำงานให้กับบริษัทการพนัน ไม่ใช่บริษัทสแกมเมอร์
การแยกแยะระหว่างพนันออนไลน์กับสแกมเมอร์ก็ยังมีความคลุมเครือ หนึ่งในรูปแบบการหลอกลวงต้มตุ๋นคือการล่อลวงให้เหยื่อมาเล่นพนันในรูปแบบการพนันออนไลน์ ซึ่งผลที่ออกมาจะไม่ได้เป็นแบบสุ่มอย่างแท้จริง แต่จะมีการล็อกผลเอาไว้แล้วโดยอาศัยระบบการเรียงข้อมูลที่เรียกว่าอัลกอริทึม บางครั้งพวกเขาก็จะชนะได้เงินเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็จะล่อลวงให้มีการลงพนันต่อไปจนกว่าพวกเขาจะเสียในจำนวนที่มากกว่า
โกเต็ดยังบอกอีกว่ามีเรื่องการละเมิดสิทธิที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในแหล่งพนันชเวก๊กโก่ที่เขามีความคุ้นเคยด้วย เช่นเรื่องการล่วงละเมิดทางร่างกายต่อคนงาน การบังคับให้ทำงานล่วงเวลา หรืองดให้อาหารคนงาน
“ผมสังเกตว่ามันเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว” โกเต็ดกล่าว ซึ่งตรงกับช่วงที่พันธมิตรสามภราดรภาพเปิดปฏิบัติการ 1027 และภายหลังจากการประชุมฉุกเฉินของ BGF
แต่จากคำให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานนี้จากกลุ่มชาวอูกันดาผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวจากศูนย์กลางสแกมเมอร์แห่งหนึ่งในรัฐกะเหรี่ยง ที่ดำเนินงานโดยกลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย เขาพูดถึงสภาพการทำงานว่า “เสมือนทาส” โดยถูกใช้งาน 17 ชั่วโมงต่อวันและมีการงดให้อาหาร
เจสัน ทาวเวอร์ ผู้อำนวยการพม่าของสถาบันสันติภาพสหรัฐอเมริกา (USIP) กล่าวว่า ศูนย์การหลอกลวงต้มตุ๋นในพื้นที่นี้เป็น “ความพยายามที่เพิ่มมากขึ้นในการปกปิดการก่ออาชญากรรมของพวกเขา”
ทาวเวอร์บอกว่าในเดือนธันวาคม 2566 บริษัท Yatai ได้ ออกประกาศต่อสาธารณะว่าพวกเขาจะไม่อนุญาตให้มีอุปกรณ์ทารุณกรรม เช่น เครื่องช็อตไฟฟ้า, กุญแจมือ และมีดที่ผิดกฎหมายในพื้นที่อีกต่อไป
“ในขณะเดียวกัน ก็มีการออกหลักปฏิบัติที่เข้มงวดมากขึ้นในสถานที่ทำการเพื่อป้องกันไม่ให้แรงงานทาสไซเบอร์สามารถติดต่อกับกลุ่มองค์กรให้ความช่วยเหลือได้ และเพื่อป้องปรามพวกเขาและครอบครัวของพวกเขาไม่ให้ไปหาตำรวจได้ เรื่องนี้รวมถึงการสอดแนมกิจกรรมออนไลน์ที่เข้มงวดขึ้นในสถานที่ รวมถึงเพิ่มการรักษาความปลอดภัยภายในพื้นที่” ทาวเวอร์กล่าว
เจคอบ ซิมส์ ผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ทำการสืบสวนสอบสวนอุตสาหกรรมการหลอกลวงต้มตุ๋นบอกว่า ถึงแม้จะมีการสร้างภาพลักษณ์เหล่านี้ แต่เขาก็เห็นว่ายังไม่น่าจะมีการเปลี่ยนทิศทางจากการกดขี่ภายในสถานทำการธุรกิจหลอกลวงต้มตุ๋น
“ถ้าพูดโดยทั่วไปเลยคือ ความรุนแรงในพม่ามีความเลวร้ายมากเป็นพิเศษ และจากแหล่งข่าวของผม ผมไม่ได้เห็นหลักฐานใดๆ เรื่องความเปลี่ยนแปลงภายในเขตแดนของ BGF หรือที่อื่นๆ ที่มีอุตสาหกรรมหลอกลวงต้มตุ๋นยังคงมีอยู่ในระดับนี้” ซิมส์กล่าว
แต่ซิมส์ก็บอกว่าความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปฏิบัติการ 1207 คือ การเปลี่ยนแปลงจากการใช้เหยื่อที่เป็นคนพูดภาษาจีนกลางในการหลอกลวงต้มตุ๋นและเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่พอใจจากทางการจีน
“ด้วยสาเหตุที่ว่านี้เอง ทำให้ทั้งในเมียวดีและในกัมพูขา พวกเราจะเห็นเหยื่อที่พูดภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก” ซิมส์กล่าว
ทาวเวอร์กล่าวว่า ถึงแม้ว่าการปรับภาพลักษณ์ของกลุ่ม BGF มาเป็น KNA จะดูเป็นแค่การสร้างภาพในระดับผิวเผินมากกว่าที่เห็น แต่กลุ่ม BGF รัฐกะเหรี่ยงก็ได้ส่ง “สัญญาณทั้งเชิงบวกและเชิงลบผสมกันในเรื่องความเกี่ยวข้องกับกองทัพพม่า”
“จุดยืนแบบนี้เป็นสิ่งที่ช่วยกองทัพพม่าได้ เพราะมันทำให้กองทัพพม่าสามารถอ้างได้ว่าแก๊งหลอกลวงต้มตุ๋นอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องที่ดีต่อ BGF ในการป้องกันไม่ให้เกิดการปราบปรามในแบบเดียวกับปฏิบัติการ 1027 ที่มีผู้นำปฏิบัติการเป็นองค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์กลุ่มอื่นๆ ในพื้นที่” ทาวเวอร์กล่าว
แบบแผนของการย้ายถิ่น
ซิมส์กล่าวว่ามันยังมีการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพจากทางตอนเหนือของพม่าด้วยหลังจากที่มีปฏิบัติการ 1027
“อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเน้นย้ำว่า การพลัดถิ่นในเชิงภูมิศาสตร์นั้นเกิดขึ้นแทบจะแค่เฉพาะที่ๆ มีอุตสาหกรรมสแกมเมอร์ฝังรากอยู่อย่างไม่มีอะไรมาขัดขวางอยู่แล้วเท่านั้น” ซิมส์กล่าว เขาหมายถึงเมืองเมียวดีและกัมพูชา
โกเต็ดยืนยันด้วยว่า มีคนงานจำนวนมากจากแหล่งการพนันผิดกฎหมายและสแกมเมอร์ฐานในพื้นที่รัฐฉานตอนเหนือ ได้ย้ายมาที่ชเวก๊กโก่ ภายหลังปฏิบัติการ 1027 ในขณะที่คนอื่นๆ มาจากพื้นที่ตอนในของพม่า หลังมีประกาศกฎหมายการเกณฑ์ทหารฉบับใหม่
มีคนหนุ่มจำนวนมากที่อายุระหว่าง 18 และ 35 ปี ต้องหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านหรือเข้าไปในพื้นที่ของฝ่ายต่อต้านเพื่อหลบหนีจากการเกณฑ์ทหาร แต่มีบางคนที่ไม่สามารถหนีไปในที่เหล่านี้ได้ จึงเข้ามาที่ชายแดนเพื่อทำงาน
“บริษัทของพวกเรามีคนงานจ้างเข้ามาใหม่ที่เป็นคนหนุ่มสาวมากกว่า 50 คน ด้วยอัตราการจ้างในระดับนี้ BGF จะทำเงินได้จำนวนมากจากการเก็บภาษีคนงานหน้าใหม่” โกเต็ดกล่าว
“พวกเราตรวจคัดกรองคนทุกคนที่เข้ามาเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถทำงานได้จริง” หน่ายหม่องซอว์จากกลุ่ม BGF กล่าว “พวกเราจะรักษาการเติบโตของทรัพยากรมนุษย์เพื่อช่วยให้มีการพัฒนาชเวก๊กโก่”
มีความพยายามที่เห็นได้ชัดเจนว่าพยายามเอาใจจีนแผ่นดินใหญ่ โดยทาง BGF ได้ส่งตัวชาวต่างชาติมากกว่า 997 ราย ที่ทำงานในศูนย์สแกมเมอร์เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์และต้นเดือนมีนาคม ถึงแม้ว่ามันจะไม่ชัดเจนว่ามีพวกหัวหน้าแก๊งรวมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ หรือเป็นแค่การส่งตัวเหยื่อค้ามนุษย์ไปเฉยๆ
“ในฐานะรัฐผู้รับ ประเทศไทยได้รับคนเหล่านี้ไว้ชั่วคราว จากนั้นถึงได้ส่งตัวต่อไปที่จีน พวกเขาส่วนใหญ่เป็นพลเมืองชาวจีน” หน่ายหม่องซอว์ กล่าว
เจ้าหน้าที่ BGF ผู้ไม่ประสงค์ออกนามเปิดเผยว่า ก่อนหน้าที่จะมีการแลกเปลี่ยนไม่นานนี้ ผู้แทนระดับสูงของ BGF ได้พบปะกับเจ้าหน้าที่ทางการจีนในไทย
ในเดือนกุมภาพันธ์ อ้ายก์จ่อ กล่าวว่าอุตสาหกรรมกาสิโนซบเซาลงจากผลพวงที่เกิดขึ้นโดยทันทีจากปฏิบัติการ 1027 แต่ในตอนนี้ก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง
“ผู้คนกลับมา ธุรกิจก็กลับมาเปิดตามปกติ อย่างไรก็ตาม BGF ได้บอกพวกเราไว้ว่ามันเป็นแค่ธุรกิจการพนันออนไลน์เท่านั้น ไม่มีสแกมเมอร์ออนไลน์ แต่พวกเราไม่สามารถเยี่ยมชมหรือตรวจตราธุรกิจเหล่านี้ได้ ดังนั้นแล้วเราจึงรู้แค่สิ่งที่พวกเขาบอกเรา” อ้ายก์จ่อกล่าว
เรียบเรียงจาก
‘Business is back’: BGF adapts under pressure, Frontier Myanmar, 08-04-2024