ทำไมเราจึงตกหลุมรัก “หมูเด้ง” ฮิปโปแคระซุปตาร์แห่งเขาเขียว เรื่องนี้มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าทำไมความน่ารักถึงส่งผลต่อสมองและพฤติกรรมของมนุษย์ได้อย่างเหลือเชื่อ
นาทีนี้ใครก็ฉุดไม่อยู่ สำหรับความฮอตของ หมูเด้ง เจ้าฮิปโปแคระ ซุปตาร์ประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เพราะนอกจากจะเป็นปรากฏการณ์ในประเทศแล้ว ยังลุกลามกลายเป็นไวรัลไปถึงต่างประเทศ ได้พื้นที่สื่อใหญ่หลายวงการ ตกคนเข้าด้อมเป็นแฟนคลับได้เพียบ จากปกติในช่วงหน้าฝนจะมีนักท่องเที่ยวหลักร้อยจนถึงหลักพันต้นๆ แค่เมื่อดาวดวงใหม่อย่าง หมูเด้ง ได้ฉายแสงขึ้นมา ก็ทำให้ตัวเลขของผู้คนที่แวะเข้ามาชมความน่ารักพุ่งทะยานเป็นหลักหลายพันคนในวันธรรมดา และแตะหลักหมื่นในช่วงวันหยุด ไม่เพียงเท่านั้นแต่ละคนยังมีโอกาสได้ชมความน่ารักได้แค่รอบละ 5 นาที คิวทองยิ่งกว่าซุปตาร์คนไหนในช่วงนี้
ทำไมหลายคนจึงตกหลุมรัก “หมูเด้ง”
เป็นคำถามที่ถ้าจะให้ตอบตามความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้น เรื่องความซน ความดีด ความเด้งของน้อง ที่มักจะมี “มีม” มาทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องอมยิ้มและหัวเราะตาม แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายและรองรับ นั่นคือแนวคิดเรื่อง “Kindchenschema” หรือ “Baby schema”
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 1940 คอนราด ลอเรนซ์ (Konrad Lorenz) นักพฤติกรรมชาวออสเตรเลียที่มีชื่อเสียงจากงานวิจัยพฤติกรรมสัตว์ ได้บัญญัติแนวคิดเรื่อง สคีมาของทารก (Kindchenschema) หรือโครงร่างของทารก ซึ่งการศึกษาดังกล่าวทำให้ลอเรนซ์ได้รับรางวัลโนเบลและมีอิทธิพลมหาศาลในวงการวิทยาศาสตร์
งานวิจัยของเขาได้อธิบายคำว่า kindchenschema คือชุดลักษณะทางกายภาพของเด็กทารก เช่น หัวใหญ่ ใบหน้ากลม จมูกเล็ก และตาโต โดยเฉพาะทารกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด ต่างมีลักษณะดังกล่าวซ่อนอยู่ ซึ่งช่วยกระตุ้นพฤติกรรมตามธรรมชาติที่ติดตัวให้ออกมาอย่างรวดเร็ว นั่นคือเกิดความรู้สึกอยากที่จะคุ้มครอง ดูแลปกปกป้อง ถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม
“ลูกฮิปโปมี Kindchenschema ทั้งความกลมของรูปร่าง รอยพับของชั้นไขมัน เมื่อเราเห็นลูกฮิปโปอย่างหมูเด้ง เราจึงรู้สึกอยากดูแลมัน อยากปกป้อง หากลูกฮิปโปมีลักษณะที่เป็นเหลี่ยมมุมมาก และไม่ได้มีลักษณะที่เราเรียกว่าน่ารักตามหลักบัญญัติ ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์คนคลั่งไคล้แบบนี้” โอเรียนา อารากอน นักจิตวิทยาสังคมกล่าวกับ Huffpost
นอกจากนี้ ในปี 2008 มีการทดลองนำภาพเด็กทารกและภาพผู้ใหญ่ให้ผู้เข้าทำการทดลองได้ดู ผลปรากฏว่าปฏิกิริยาในสมองเกิดความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของสมองที่เกี่ยวกับอารมณ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วระดับ 1 ใน 7 วินาทีเมื่อเห็นภาพทารก ทั้งที่โดยปกติสมองในส่วนนี้ที่มีการบันทึกการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์จะใช้เวลานานกว่า เพราะต้องพิจารณาว่ามันคืออะไร แล้วจึงใช้วิจารณญาณตัดสินว่ารู้สึกอย่างไร เหมือนกับว่ามนุษย์มีสายสัมพันธ์ถึงเด็กทารกโดยธรรมชาติ จึงทำให้รู้สึกเอ็นดูและก่อให้เกิดพลังของความน่ารักของเด็กทารกขึ้น
“หมูเด้ง” ผู้ช่วยหลั่ง “โดปามีน” สารแห่งความสุขสู่สมองของแฟนคลับ
สเตฟานี ปัปปาส นักบำบัดด้านการแต่งงานและครอบครัวที่ได้รับใบอนุญาตในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เผยถึงเรื่องนี้ว่า “ในฐานะมนุษย์ เราทุกคนล้วนต้องการพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าและภาระหนักในชีวิตประจำวัน ความสุขที่หมูเด้งนำมาให้นั้นเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและผ่อนคลายระบบประสาทและร่างกายของเราทันที โดปามีนถูกปล่อยออกมาเมื่อเราดูภาพและคลิปของหมูเด้ง”
ทั้งนี้ สารโดปามีน คือ เป็นทั้งฮอร์โมน (Hormone) และสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อส่งผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้ร่างกายสามารถรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้อย่างเหมาะสม โดยโดปามีนจะเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ความชื่นชอบ และความปีติยินดี เมื่อทำสิ่งใดแล้วรู้สึกมีความสุข ร่างกายจะหลั่งโดปามีนออกมา ซึ่งโดปามีนที่หลั่งออกมานี้จะกระตุ้นให้ต้องการทำสิ่งนั้นหรือพฤติกรรมนั้นมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่มีผลการศึกษาวิจัยพบว่า โดปามีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเสพติด เพราะเมื่อกระทำสิ่งใดแล้วได้รับรางวัลที่พึงพอใจ ร่างกายและจิตใจจะยิ่งเรียกร้องโหยหาต้องการสิ่งนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ โดปามีนยังมีผลต่อการตกหลุมรักอย่างมากด้วย ทำให้เกิดพฤติกรรมโหยหา คิดถึงคนรักอยู่ตลอดเวลา อยากอยู่ใกล้ อยากสบตา มองหน้า พูดคุย และสัมผัสคนที่ตนเองหลงรัก ทำให้โดปามีนมีชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งว่า สารเคมีแห่งรัก ดังนั้นการที่ผู้คนทั่วโลกเห็นเจ้าหมูเด้งแล้วตกหลุมรัก จนอยากดู หรือตามหาคลิป หารูป มานั่งชื่นชมอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นกระแส จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้นั่นเอง
น่ารักจนเกินห้ามใจ ทำไมบางคนถึงแสดงออกกับ “หมูเด้ง” อย่างรุนแรง
จากกระแสความน่ารัก ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไปเยี่ยมเยือนหมูเด้งถึงริมรั้วกันอย่างเนืองแน่น และยังมีข่าวว่าบางคนตะโกนส่งเสียงดัง เทน้ำ หรือปาเปลือกหอยใส่ เพื่อให้หมูเด้งตื่น หรือเดินออกมาโชว์ตัว ซึ่งพฤติกรรมนี้ทำให้หลายคนกังวลว่าจะทำให้หมูเด้งเกิดความกังวลใจ เกิดความเครียดได้
“ความน่ารักของทารกไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือฮิปโปแคระสามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงในตัวเราได้ ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จิตวิทยาในปี 2015 พบว่าผู้ที่มีความรู้สึกเชิงบวกต่อภาพเด็กทารกที่น่ารัก อาจมีการแสดงออกถึงความรู้สึกที่ก้าวร้าวมากขึ้น เช่น ต้องการหยิกแก้มของทารก โดยไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายจริงๆ หรือเรียกอีกอย่างว่า ความก้าวร้าวที่น่ารัก” โอเรียนา อารากอน นักจิตวิทยาสังคม อธิบาย
สำหรับการแสดงออกแบบนี้ถ้าพูดกันแบบไทยๆ คงคล้ายกับอารมณ์ “หมั่นเขี้ยว” นั่นเอง ทำให้หลายคนที่ไปดูหมูเด้ง จึงต้องการจะทำบางอย่างเพื่อให้ตนเองได้เข้าใกล้ ได้ชมความน่ารัก จนกลายเป็นสิ่งที่ไปก่อกวนสัตว์แบบไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและควรหลีกเลี่ยง
จากความน่ารัก ก่อเป็นความรัก ที่เราควร “รักษ์” ฮิปโปแคระ
ด้อมหมูเด้ง ควรรู้ไว้สักนิดว่า ฮิปโปแคระเป็นสัตว์หากินในเวลากลางคืน ค่อนข้างขี้อาย ชอบอยู่ตัวเดียวหรือเป็นคู่ และอาศัยอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำที่เงียบสงบ มักหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมนุษย์และสัตว์อื่น การที่หมูเด้งจะเลือกออกมาเล่นหรือนอนกลางวันจึงขึ้นอยู่กับอารมณ์ในแต่ละวัน การที่หลายคนไปเยี่ยมชมด้วยความรักความเอ็นดูนั้น อาจเป็นการรบกวนเวลานอนของหมูเด้งแบบไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้หมูเด้งเกิดความเครียดได้
นอกจากนี้ ฮิปโปแคระ ยังเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ตามการจัดอันดับของ IUCN Red List โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ฮิปโปแคระเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์คือการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยเนื่องจากการทำลายป่าและการถูกล่าเพื่อเนื้อและชิ้นส่วนต่างๆ โดยเฉพาะในแถบแอฟริกาตะวันตก ฮิปโปแคระในป่าธรรมชาติเหลืออยู่เพียงไม่กี่พันตัวเท่านั้น โดยส่วนใหญ่ถูกเพาะเลี้ยงในสวนสัตว์เพื่อการอนุรักษ์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
หมูเด้ง เกิดในโครงการเพาะพันธุ์ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์สายพันธุ์นี้ เพื่อเพิ่มประชากรฮิปโปแคระในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเหมาะสม เมื่อเราได้เห็นความน่ารักของฮิปโปแคระแล้ว มนุษย์ควรจะนำความรักความเอ็นดูมาช่วยกันอนุรักษ์ ด้วยการรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้ยั่งยืนเพื่อช่วยให้พวกมันอยู่รอดได้ในอนาคต ซึ่งในอนาคตข้างหน้าฮิปโปแคระจะไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ที่คนรุ่นหลังจะได้เห็นความน่ารักผ่านแต่เพียงรูปภาพและคลิปวิดีโอเท่านั้น
ที่มา huffpost , OKMD , thaipublica , สวนสัตว์เปิดเขาเขียว