ตำรวจฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ปกปิดการละเมิดสิทธิผู้ต้องขังหญิง
auser15
Sun, 2024-09-22 – 18:51
มีข้อกล่าวหาว่านายตำรวจประจำเรือนจำหมายเลข 2 ที่อำเภอกันบาลู ภาคสะกาย ทางตอนบนของพม่า ล่วงละเมิดหรือกระทำความผิดทางเพศต่อนักโทษหญิงในเรือนจำที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล NUG หรือรัฐบาลฝ่ายต่อต้านกองทัพพม่า โดยรายงานในสื่อ “อิรวดี” ระบุด้วยว่าเจ้าหน้าที่คนอื่นได้ยื่นเรื่องร้องเรียนแต่ก็ถูกข่มขู่คุกคาม อีกทั้งเส้นสายที่ตำรวจคนนี้มีความสัมพันธ์กับคนระดับสูงของฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่นทำให้การสืบสวนถูกปิดลับ และไม่มีการดำเนินการลงโทษ
เป็นเวลาตีสามครึ่งของวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ที่ฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้านแห่งหนึ่งในอำเภอกันบาลู ภาคสะกาย ทางตอนบนของพม่า ทุกคนกำลังหลับสนิทจนกระทั่งเสียงตะโกนดังขึ้นปลุกพวกเขาให้ตื่น
เยยิ้นท์ อายุ 50 ปี ผู้กำกับการสถานีตำรวจในท้องที่ ตะโกนอยู่หน้าที่พักของเจ้าหน้าที่หญิงว่า “ไม่มีอะไรจะคุ้มครองความปลอดภัยของคุณได้ ถ้าคุณยังดื้อดึงท้าทายผม คุณจะได้ออกไปแบบเป็นศพเท่านั้น ไม่ใช่ออกไปแบบยังมีชีวิต!”
ไชน์ซาร์นี ตำรวจหญิงวัย 33 ปี ตัวสั่นด้วยความกลัว ขณะที่หัวหน้าของเธอตะโกนใส่
ตำรวจทั้งสองนายนี้เคยแปรพักตร์จากกระทรวงมหาดไทยของรัฐบาลทหารพม่า (SAC) หลังการรัฐประหารในปี 2564 และปัจจุบันได้รับหน้าที่ประจำการที่เรือนจำหมายเลข 2 ซึ่งดำเนินการโดยกองกำลังตำรวจประชาชน หรือ กกล.พะละป๊ะ ในอำเภอกันบาลู
กกล.พะละป๊ะ ทำหน้าที่เป็นตำรวจของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยคู่ขนานในพม่า
รัฐบาล NUG ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของกันบาลู และเริ่มบริหารงานแบบคู่ขนานภายใต้ “หน่วยงานปกครองของประชาชน” ที่มีทั้งกองทัพ ตำรวจ และระบบตุลาการ
แหล่งข่าวจากหน่วยงานปกครองและฝ่ายบังคับใช้กฎหมายในกันบาลู ให้ข้อมูลกับสื่ออิรวดีว่า เยยิ้นท์เคยข่มขู่ไชน์ซาร์นีมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้งก่อนเหตุการณ์วันที่ 23 พฤษภาคม 2566
ต้นตอของความตึงเครียด
ก่อนหน้านี้ 5 วันเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 ไชน์ซาร์นี พร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีก 2 นายได้ทำการตรวจเวรยามช่วงกลางคืนที่เรือนจำ ในเวลาประมาณ 3.45 น. ขณะที่พวกเขากำลังตรวจห้องครัว ซึ่งเป็นพื้นที่คุมขังนักโทษหญิง พวกเขาก็พบว่า ไวไว นักโทษหญิงอายุ 25 ปี กำลังหลับนอนอยู่กับนายตำรวจเยยิ้นท์
ไชน์ซาร์นีเล่าว่า ในตอนเช้าเธอได้ถามไวไวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ไวไวตอบว่า เยยิ้นท์บอกให้เธอหลับนอนกับเขาไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาต้องการ ไชน์ซาร์นียังบอกอีกว่า นายตำรวจเยยิ้นท์ข่มขู่ไวไวเรื่องความปลอดภัยก่อนจะบังคับให้เธอยอมทำตาม
หลังจากที่ทราบเรื่อง ไชน์ซาร์นีก็นำไวไวกลับไปที่ห้องขังและเตือนเธอเกี่ยวกับกฎของเรือนจำ การกระทำของไชน์ซาร์นีทำให้เยยิ้นท์โกรธมาก ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ไชน์ซาร์นีและเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนที่ร่วมตรวจเวรในคืนนั้นได้ตัดสินใจยื่นขอลาออก ไชน์ซาร์นีได้ยื่นใบลาออกกับ NUG โดยให้เหตุผลว่ารู้สึกถูกคุกคาม
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ขณะที่ไชน์ซาร์นีกำลังจะยื่นใบลาออก เยยิ้นท์ขู่ว่าจะทำรายงานเท็จส่งให้กระทรวงมหาดไทยของ NUG เพื่อให้เธอถูกจับกุม ในรายงานการร้องเรียนของเธอ ไชน์ซาร์นีระบุว่า เยยิ้นท์ขู่จะส่งข้อความไปทางเทเลแกรมให้กระทรวงมหาดไทยรัฐบาล NUG และกล่าวหาว่าเธอได้แยกตัวไปจัดตั้งกลุ่มใหม่ ปล่อยตัวนักโทษ และพานักโทษหนีไปกับเธอ
ในคืนนั้น เยยิ้นท์ยังคงคุกคามไชน์ซาร์นีจากด้านนอกของที่พักตำรวจหญิง สมาชิก กกล.พะละป๊ะ หลายคนได้ยินเสียงเยยิ้นท์ตะโกนใส่เธอ ไชน์ซาร์นีทนอยู่กับสถานการณ์นี้ต่อไป แต่สุดท้ายเธอก็ยื่นร้องเรียนไปยังศูนย์บัญชาการตำรวจของกระทรวงมหาดไทยของ NUG เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ด้วยความรู้สึกว่าความปลอดภัยของเธอกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีการดำเนินการใด ๆ เกิดขึ้น จนกระทั่งคืนวันที่ 24 มิถุนายน เยยิ้นท์ที่กำลังเมาได้พังประตูที่พักตำรวจหญิงและตะโกนด่าไชน์ซาร์นีจนเธอต้องหนีออกไป สมาชิก กกล.พะละป๊ะ รายหนึ่งเล่าว่า เขาได้ยินเยยิ้นท์ขู่ว่าจะฆ่าตัวตายหากไวไวไม่ถูกปล่อยตัวจากห้องขัง
ผู้ต้องขัง
มีผู้ต้องขังมากกว่า 20 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำหมายเลข 2 ซึ่งถูกควบคุมโดยกองกำลังตำรวจประชาชนหรือ กกล.พะละป๊ะ ของอำเภอกันบาลู ในจำนวนนั้นมีผู้หญิง 7 คน สมาชิกของ กกล.พะละป๊ะ ระบุว่าผู้ต้องขังชายจะถูกขังในเรือนจำที่สร้างจากไม้ไผ่ ผู้ที่มีความเสี่ยงในการหลบหนีต่ำจะได้รับมอบหมายให้ทำงานต่างๆ ในช่วงกลางวัน ขณะที่ผู้ต้องขังหญิงจะถูกแยกขังและทำงานทำความสะอาดและหุงหาอาหารในช่วงกลางวัน
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการเปิดเผยข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ โดยในระหว่างที่มีการสอบสวนภายในต่อเยยิ้นท์ ข้อกล่าวหาเรื่องการประพฤติผิดทางเพศและความรุนแรงทางเพศอีก 2 กรณีก็ปรากฏขึ้นที่เรือนจำหมายเลข 2 มีการร้องเรียนต่อกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาล NUG ระบุว่ามิ้นซอว์อู นายอำเภอกันบาลู ใช้ตำแหน่งหน้าที่ล่วงละเมิดผู้หญิง 2 คน รวมถึงไวไว และยังมีอีกกรณีที่อัคคะเจ้าหน้าที่สัญญาบัตรตำรวจประชาชน กกล.พะละป๊ะ พยายามข่มขืนนักโทษหญิง
เหยื่อในคดีนี้คือวินวิน อายุ 25 ปี และยะดะนา อายุ 18 ปี วินวินเป็นผู้ทำงานในระบบสาธารณสุขและถูกคุมขังในข้อหาทำงานให้รัฐบาลทหารพม่า SAC ยะดะนาเป็นนักเรียนชั้น ม.4 ผู้ถูกสงสัยว่าเป็นสายลับให้กับกองทัพพม่าในการสังหารหมู่ที่บ้านปาซิจี ซึ่งเป็นหนึ่งในการโจมตีทางอากาศที่รุนแรงที่สุดในเดือนเมษายน 2566
มีรายงานว่านายตำรวจเยยิ้นท์และนายอำเภอมิ้นท์ซออู บังคับให้ไวไวและวินวินทำหน้าที่เป็นเด็กเสิร์ฟในขณะที่พวกเขาดื่มสุราในช่วงกลางคืน เหตุการณ์นี้ทำให้เรือนจำหมายเลข 2 ถูกขนานนามว่า “ผับคาราโอเกะ” โดยผู้หญิงต้องทำหน้าที่เปิดขวด รินเหล้า และเตรียมอาหารให้กับผู้นำของ กกล.พะละป๊ะ และที่ว่าการอำเภอกันบาลู
มิ้นท์ซอว์อู นายอำเภอกันบาลู ฝ่ายรัฐบาล NUG ปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยบอกว่า “พวกเราอยู่ในป่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็แค่คุก มีเพียงยามเฝ้า และพวกเราไม่สามารถออกไปไหนได้ในช่วงนี้ ข้อกล่าวหาเหล่านี้ไม่เป็นความจริง”
นายตำรวจอัคคะ ถูกกล่าวหาว่าพยายามข่มขืนยะดะนา เขาเป็นอดีตตำรวจที่แปรพักตร์จากรัฐบาลทหารพม่าหลังรัฐประหาร และได้รับตำแหน่งเป็นครูฝึกให้กับกองกำลังตำรวจประชาชน หรือ กกล.พะละป๊ะ มีรายงานว่าเขาพยายามบังคับมีเพศสัมพันธ์กับยะดะนาในห้องพิจารณาคดีใกล้เรือนจำ และเมื่อเธอปฏิเสธ เขาจับบีบคอและตบหน้าเธอสามครั้ง
มิ้นท์ซออู ออกมาปกป้องอัคคะ โดยยืนยันว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในขณะที่พวกเขาอยู่ในเรือนจำ
ผู้พิพากษาสองคนของศาลประจำอำเภอกันบาลูได้ยื่นร้องเรียนต่อกรมราชทัณฑ์ของรัฐบาล NUG ในเดือนกรกฎาคม 2566 เพื่อให้มีการสอบสวนข้อกล่าวหาทั้งสามข้อ นอกจากนี้สมาชิกของ กกล.พะละป๊ะ ได้ร้องเรียนต่อกระทรวงสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล NUG ในเดือนสิงหาคม 2566
สื่ออิรวดีได้ติดต่อบุคคล 14 รายเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากหน่วยงานต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากกลัวการแก้แค้น
การคบชู้ หรือการกระทำผิดทางเพศ
ข้อกล่าวหาเรื่องการคบชู้หรือการประพฤติผิดทางเพศของนายตำรวจเยยิ้นท์ได้ก่อให้เกิดความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างผู้ให้ข้อมูล บางคนในกลุ่มสมาชิก กกล.พะละป๊ะและเจ้าหน้าที่ระดับสูงมองว่าเป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ตกลงร่วมกันระหว่างผู้ใหญ่สองคน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายยืนยันว่าการกระทำนี้ถือเป็นการกระทำผิดทางเพศ
เจ้าหน้าที่ประจำที่ว่าการอำเภอกันบาลูเปิดเผยว่า มีการพูดคุยเกี่ยวกับคดีนี้ในการประชุมออนไลน์ของกระทรวงมหาดไทยของ NUG เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 โดยบางคนที่เข้าร่วมประชุมได้ลดความสำคัญของข้อกล่าวหานี้ โดยอ้างว่าเป็นเพียงเรื่อง “กิ๊ก” กันระหว่างนายตำรวจและนักโทษหญิง
เขากล่าวว่า “มันไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีการละเมิดจรรยาบรรณทางวิชาชีพ เพราะฝ่ายหญิงเป็นนักโทษ ส่วนฝ่ายชายเป็นคนที่มีตำแหน่งทางการ จึงต้องรักษาความเป็นมืออาชีพไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม”
ทนายความที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาล NUG ในการบังคับใช้กฎหมายก็เน้นย้ำว่า ความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้ที่มีตำแหน่งทางการกับนักโทษหญิงเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น แม้จะมีการยินยอมจากทั้งสองฝ่ายก็ตาม
“คนที่มีตำแหน่งในทางการไม่ควรใช้ความสัมพันธ์กับผู้ต้องขังเพื่อผลประโยชน์ทางเพศ ไม่ว่าผู้ต้องขังหญิงจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม การนำตัวนักโทษหญิงออกจากห้องขังเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และหากผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ยินยอม มันจะยิ่งร้ายแรงขึ้น โดยนับเป็นความผิดฐานข่มขืนด้วย” ทนายความกล่าว
อคติในการสืบสวน
อคติในการสืบสวนเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในคดีนี้ จากคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยของรัฐบาล NUG ทำให้การสืบสวนคดีข้อกล่าวหาที่ตำรวจหญิงไชน์ซาร์นียื่นร้องเรียนต่อเยยิ้นท์ต้องเกิดขึ้น โดยมีอองจ่อโม ผู้บัญชาการระดับภาคของกองกำลังตำรวจประชาชน และ พ.ต.ต.ซุนเย รับหน้าที่ในการไต่สวนพยานและผู้ต้องขัง
ดอว์จูไล ปลัดกระทรวงมหาดไทยของ NUG บอกกับสื่ออิรวดีว่า “พวกเราได้สั่งให้มีการสืบสวนคดีนี้ และถ้าข้อกล่าวหาเป็นความจริง พวกเราจะมีมาตรการลงโทษ เราจะไม่ปกป้องใครที่ทำผิดและสร้างความอยุติธรรม”
พ.ต.ต.ซุนเย ซึ่งร่วมทำการสืบสวนรายงานว่าตนได้ส่งผลการสืบสวนไปให้กับกระทรวงมหาดไทยของ NUG แล้ว แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ดอว์จูไลกล่าวว่าเธอไม่ทราบถึงรายงานฉบับนี้ และไม่มีใครในหมู่ผู้ร้องเรียนหรือผู้พิพากษาของศาลแขวงกันบาลูได้รับแจ้งเกี่ยวกับผลการสืบสวนหรือมาตรการลงโทษใดๆ ที่เกี่ยวข้อง
ตูเหร่ง ผู้กำกับการตำรวจ กกล.พะละป๊ะ ในอำเภอกันบาลูตั้งข้อสงสัยต่อความลำเอียงในการสืบสวน โดยอ้างว่าอองจ่อโม หัวหน้าชุดสืบสวนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้ถูกกล่าวหา และมักดื่มเหล้าด้วยกัน ตูเหร่งยังระบุอีกว่าอองจ่อโมอยู่กับเยยิ้นท์ในขณะที่เยยิ้นท์บุกพังประตูเพื่อคุกคามตำรวจหญิงไชน์ซาร์นี
ตูเหร่งกล่าวว่า “มีการเปิดการสืบสวนข้อกล่าวหาเรื่องที่ไวไวถูกบังคับให้หลับนอนกับเยยิ้นท์เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ แต่ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ผมไม่สามารถพูดคุยกับทีมสืบสวนสอบสวนได้ และพวกเขาก็ไม่ได้แจ้งผมว่าผลการสอบสวนเป็นอย่างไร”
ผู้พิพากษา ปอทุน จากศาลแขวงกันบาลู กล่าวว่าการสืบสวนเป็นเพียงการทำเพื่อบังหน้า “ผู้นำของกองกำลังตำรวจประชาชนและผู้ถูกกล่าวหาเป็นเพื่อนกัน ไม่มีการสืบสวนสอบสวนจริงจัง”
แม้ว่าจะมีการสอบสวนเกิดขึ้นแล้ว แต่นายตำรวจเยยิ้นท์ยังคงคุกคามตำรวจหญิงไชน์ซาร์นีต่อไป ไชน์ซาร์นีได้ยื่นร้องเรียนเพิ่มเติมต่อกระทรวงสิทธิมนุษยชนของ NUG ในวันที่ 11 สิงหาคม แต่ก็ไม่มีการตอบกลับใดๆ
มิ้นท์ซออู นายอำเภอกันบาลู ถูกตั้งคำถามโดยดอว์จูไลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสตรี เยาวชน และเด็ก เกี่ยวกับข้อกล่าวหาการล่วงละเมิดทางเพศผู้ต้องขังหญิงวินวิน โดยมิ้นท์ซออูปฏิเสธและกล่าวว่า “พวกเขาสามารถไต่สวนผมได้ถ้ามีหลักฐาน แต่ผมจะไม่ยอมรับการไต่สวนที่ตั้งอยู่บนสมมติฐาน”
ไม่มีการสืบสวนใดๆ เกิดขึ้นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาต่อนายตำรวจอัคคะ ผู้พิพากษา 2 รายจากศาลแขวงกันบาลูได้ยื่นคำร้องต่อกรมราชทัณฑ์ของ NUG ในเดือนกรกฎาคม 2566 เพื่อให้มีการสืบสวนอย่างโปร่งใส แต่เมื่อสื่ออิรวดีสอบถาม เจ้าหน้าที่เรือนจำกันบาลูปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม
ผู้พิพากษาโจกเกอร์ เจมส์ ประจำอำเภอกันบาลูกล่าวว่า “นายตำรวจหญิงไชน์ซาร์นีเห็นการล่วงละเมิดทางเพศที่เยยิ้นท์กระทำ แต่การสอบสวนก็เป็นแค่การบังหน้า และเยยิ้นท์ยังขู่ฆ่าเธออีกด้วย”
ผู้สื่อข่าวอิรวดีสอบถามอ่องเมียวมิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล NUG ซึ่งเขาระบุว่าไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายได้ ขณะที่ทนายความชี้ว่าแม้เหยื่อไม่สามารถร้องเรียนเองได้ แต่รัฐบาล NUG ควรทำการสอบสวนอย่างโปร่งใส และเปิดเผยผลการสอบสวนให้สาธารณชนทราบ
หลังจากการสอบสวน ผู้ต้องขังหญิงจากเรือนจำหมายเลข 2 ถูกย้ายไปเรือนจำหมายเลข 1 จากนั้นมีการรื้อถอนห้องขังและพื้นที่ทานอาหาร ตูเหร่งซึ่งเป็นผู้กำกับการตำรวจ กกล.พะละป๊ะ อำเภอกันบาลู กล่าวว่ารองผู้กำกับการสั่งให้ย้ายนักโทษหญิงโดยไม่แจ้งให้เขาทราบ “ผู้ต้องขังหญิงทุกคนถูกย้าย ผมไม่รู้ว่าทำไม ไม่มีใครรายงานเรื่องนี้กับผมเลย” เขากล่าว
แหล่งข่าวจากเรือนจำหมายเลข 2 เผยว่า รองผู้กำกับการที่สั่งย้ายผู้ต้องขังเป็นเพื่อนสนิทกับมิ้นท์ซออู และเยยิ้นท์
เวลาผ่านไปแล้วกว่า 10 เดือนหลังจากมีการร้องเรียนต่อกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาล NUG แต่การสอบสวนยังไม่โปร่งใส และไม่มีการลงโทษต่อผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งรวมถึงมิ้นท์ซออู, เยยิ้นท์ และอัคคะ ในเดือนตุลาคม 2566 นายตำรวจเยยิ้นท์ถูกส่งไปสถานีตำรวจแห่งใหม่ใกล้เรือนจำหมายเลข 2 ส่วน มิ้นท์ซออูยังคงเป็นผู้นำหน่วยปกครองในกันบาลู ขณะที่อัคคะถูกอ่องจ่อโมส่งไปที่ฐานอื่น
ตำรวจหญิงไชน์ซานี ลาออกในเดือนกรกฎาคม 2566 หลังจากถูกคุกคามจากอดีตผู้บังคับบัญชา และยังไม่ชัดเจนว่าเธอถูกย้ายไปที่ใด ส่วนเพื่อนร่วมงานสองคนที่ช่วยเธอร้องเรียนก็ถูกย้ายไปยังพื้นที่อื่นเช่นกัน
ปอทุน ผู้พิพากษาในอำเภอกันบาลู ระบุว่าการขาดความโปร่งใสในการสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศโดยกลุ่มผู้นำท้องถิ่น ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล NUG ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งรัฐบาลและฝ่ายตุลาการในพื้นที่ เขาเสนอให้รัฐบาล NUG ตั้งหน่วยงานอิสระขึ้นมาจัดการเรื่องการร้องเรียนเช่นนี้ “เราต้องการความยุติธรรมและปราศจากอคติ คนทำผิดควรได้รับโทษ การลงโทษจะไม่บ่อนทำลายการปฏิวัติ แต่มันจะช่วยให้การปฏิวัติเข้มแข็งขึ้น” ปอทุนกล่าว
เรียบเรียงจาก
Abuse of Female Prisoners by Myanmar Resistance Police Covered Up, The Irrawaddy, 12-04-2024
- รายงานพิเศษ
- สิทธิมนุษยชน
- ต่างประเทศ
- พม่า
- รัฐประหารพม่า
- รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ
- รัฐบาล NUG
- ภาคสะกาย
- ล่วงละเมิดทางเพศ
- เรือนจำ
- สิทธิผู้ต้องขัง
- กระบวนการยุติธรรม